วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552

>>100 ข้อคิดดีๆ สั้นๆ เตือนใจคุณ<<

1. เอาใจเขามาใส่ใจเรา
2. เชื่อมั่นตัวเอง
3. อย่ามองคนที่หน้าตา
4. กล้าคิด พูด และทำ
5. เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น
6. และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
7. อย่าโกหกกับเรื่องที่คุณคิดว่าผิด
8. ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ
9. เปิดใจให้กว้าง
10. มองการณ์ไกล
11. วางแผนอนาคต
12. อย่าโทษตัวเอง
13. มีความรับผิดชอบ
14. ตอบแทนเมื่อได้รับ
15. ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้และไม่มี
16. อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด
17. คิดถึงส่วนรวมให้มาก
18. ดูแลตัวเองให้เป็น
19. รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี
20. อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
21. อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว
22. จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
23.ที่ทำอยู่มีผลดี ผลเสีย มีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์
24.อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก
25.ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น
26.อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตนเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
27. คนไม่ผิดคือคนที่ใหม่เคยทำอะไร
28. ได้หน้าอย่าลืมหลัง
29. คุณไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อนความรู้สึก แต่จงวางแผนที่จะดูแลมันไม่ให้เสีย
30. อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ
31. อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
32. รู้จักแบ่งเวลา และหน้าที่
33.ทำประโยขน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
34.อย่าเห็นแก่ตัว
35. อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
36. อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้
37. กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุณเอง
38.เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก็คุยกันได้
39.อย่าคิดว่าเขาไม่โทร.มา ถ้าคุณก็ไม่เคยโทร.ไป
40. จง เป็นฝ่ายให้มากกว่าเป็นฝ่ายรับ
41. ดูแลบิดามารดาให้ดี คุณมีโอกาศ รีบทำซะก่อนที่จะไม่มี
42. อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา แต่คุนสามารถทำมันใหม่หรือเรียนรู้จากมันได้
43. คำพูดเมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้ ดังนั้น คิด ก่อนพูด
44. อย่าทุ่มเทในสิ่งที่ไร้ประโยชน์
45. คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด
46. ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วไม่สามารถเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้
47. หาจุดหมายให้กับชีวิต
48. เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น
49. ถ้างง เขียนหนังสือได้ แต่เขียนให้เป็นภาษา
50. วันๆหนึ่งคุณทำอะไรบ้าง ที่ไม่ใช่ กิน นอน เล่น
51. ไม่มีหมอคนไหนรอให้คนไข้จะตายแล้วค่อยช่วยหรอกนะ
52. เพื่อนคุณก็เช่นกัน อย่าปล่อยให้เขาเครียดจนจะตายแล้วถึงไปถามหรือดูแล
53. ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
54. คุณซื้อนาฬิกาได้ แต่คุณไม่สามารถซื้อเวลาได้
55. ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่รึเปล่า ถ้ามีกลับไปหาซะ
56. ตอนนี้คุณถึงเมื่อไหร่ ทำอะไรซะบ้าง
57. อย่ากล่าวคำขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามไปขอโทษ
58. ตอนคุณลำบากคุณคิดถึงใคร คุณอยากให้ใครช่วยเหลือ
59. ตอนนี้คนกำลังสบายอยู่ แล้วคนที่คุณเคยขอความช่วยเหลือล่ะ หมดประโยชน์แล้วหรือ
60. ไม่ใช่ แล้วไง ต้องให้บอกต่อมั้ย
61. ทำอะไรก้อได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของคนอื่น
62. ตอนที่คนกำลังอ่านประโยคนี้ จงจำไว้ว่าคุณเป็นมนุษย์ และยังมีชีวิตอยู่
63. ใครเป็นคนทำให้คุนมีชีวิต ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง
64. ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกเขาว่ารักก้อเพียงพอแล้ว
65. อย่ารอให้ถึงวันเกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน
66. ไม่มีกฏหมายข้อใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา
67. ถ้าเป็นคุณอยู่ดีๆ มีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุณจะรู้สึกดีมั้ย หรือดูที่ราคาขนม
68. เหล้าทำให้คุณลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุณลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต
69. อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุณยังมีคนพิมพ์คนนี้อีกคน
70. อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคดีที่สุด
71.อย่าพูดว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้า งั้นคุณก้อไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน
72.เหนื่อยนักก็หยุดพักซะบ้าง
73.อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุณก็เป็นคนเพียงแต่คุณยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง
74.ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปอยู่ในตัวคุณ
75. คุณมองเพชรที่ความงามภายในหรือป้ายราคาภายนอก
76. ถ้าคุณกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน
77. มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือ ลองค้นคว้าดูจะรู้
78. ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่เเทงมาจากข้างหลัง
79. การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด
80. ทำยังไง ต้องให้ขโมยขึ้นบ้านก่อน ถึงไปดูรั้วบ้านใช่มั้ย
81. ทำใจกับสิ่งต่างๆ ล่วงหน้าไว้บ้างก้อดี
82. จะยกตัวอย่าง สมมติคนที่คุณรักจากไปตอนนี้ คุณคิดว่า คุณทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง
83. อย่าตอบว่าทำยังไงก็ตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
84. คุณทำใจได้แล้วหรือถ้ามันเกิ[คำไม่พึงประสงค์]ะไรขึ้น คุณไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก้อไม่ฟื้นมาได้ยินหรอกนะ
85. ตัวคุณมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรู้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า
86. หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากมายที่คุณยังไม่รู้
87. ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิต
88. การใส่เสื้อสวยๆไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก
89. หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้
90.ลองทำอะไรบ้าๆบ้างก้อดี อย่ายึดติดนักเลย
91. ผู้พิมพ์ไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุณได้รุ้อะไรไว้บ้างก็ดี
92.สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆ ไปในชีวิตหรือเรื่องคุนเห็นว่าไม่สำคัญ กลับมาดูเเลตรงนั้นบ้างก็ดี
93.อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก็ดี
94. อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้า เล่นไพ่ เที่ยวหญิงเที่ยว
95. ยาเสพติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด
96.อย่าทำตามเพื่อนเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขากับร่างกายเรา แน่นอนจิตใจก็เหมือนกัน
97. ผู้ชายยังไงก้อคือผู้ชาย ผู้หญิงยังไงก็คือผู้หญิง
98. บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
99. ไม่มีมิตรถาวรและศัตรูที่เเท้จริง
100.จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรา รัก และคนที่อยู่รอบกายเรา

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

>>ดูแลร่างกายก่อนมะเร็งร้ายถามหา<<


มะเร็ง คืออีกหนึ่งโรคร้ายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย จนถึงวันนี้แพทย์เองก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุของการเกิดโรคร้ายนี้ได้ เราจึงทำได้เพียงดูแลและหมั่นตรวจเช็คความผิดปกติของร่างกาย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้


เชื้อชาติ รู้หรือไม่ว่าคนไทยมีสถิติการเป็นมะเร็งตับนำมาเป็นอันดับหนึ่ง ในขณะที่คนญี่ปุ่นเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ฟากมะเร็งโพรงจมูกมักพบมากในคนจีน จากสถิติดังกล่าวทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของการเป็นมะเร็งชนิดต่างๆที่เกี่ยวพันกับเชื้อชาติ ซึ่งอาจสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนเชื้อชาติต่างๆด้วย


เพศ ทั้งชายและหญิงมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้พอๆกันแต่คนละประเภท เพศชายจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดและมะเร็งตับ ส่วนเพศหญิงจะพบว่าเป็นมะเร็งมดลูกและเต้านม


อายุ เด็กเล็กมักเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ส่วนมะเร็งต่อมลูกหมากมักพบมากในผู้สูงอายุ


กรรมพันธุ์ หากในเครือญาติมีประวัติการเป็นโรคมะเร็ง แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ที่มีสายเลือดเดียวกันไปตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง


ภูมิคุ้มกันของร่างกาย แม้แต่ละคนจะมีระดับภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนก็มีสิทธิ์เป็นโรคมะเร็งได้เช่นกัน


ฮอร์โมน ระดับของฮอร์โมนต่างๆก็มีความสัมพันธ์ต่อการเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะระดับของฮอร์โมนเพศ


สารเคมี สารเคมีต่างๆทั้งที่เกิดจากธรรมชาติ มลภาวะรอบตัว และที่ปนเปื้อนมากับเครื่องอุปโภคบริโภคต่างเป็นปัจจัยภายนอกที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง


เชื้อโรค เชื้อโรคบางชนิดก่อให้เกิดมะเร็งได้ เช่น ไวรัส พาพิลโลมา เป็นตัวการกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของผนังมดลูก และทำให้เกิดมะเร็งมดลูกตามมา ส่วนสาร อะฟลาท็อกซิน ที่มักปนเปื้อนมากับอาหารประเภทข้าว ถั่ว และมันสำปะหลัง ก็เป็นสาเหตุของมะเร็งตับได้


อ่านมาถึงตรงนี้อาจทำให้บางคนหวาดระแวงต่อโรคมะเร็ง แต่หากเรารู้จักดูแลตัวเอง ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานผักผลไม้สด หลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่างและปรุงไม่สุก หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ รวมทั้งหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายก็จะทำให้เราห่างไกลโรคมะเร็งได้


สัญญาณเตือนของมะเร็งร้าย ควรปรึกษาแพทย์หากมีความผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้น

น้ำหนักลดลงรวดเร็วโดยไม่สาเหตุ

กระหายน้ำบ่อยอย่างไม่มีเหตุผล

ปวดศีรษะรุนแรง

ครั่นเนื้อครั่นตัว หนาวๆร้อนๆ มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน และใจสั่น

ปวดขาและปวดหลังบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ

หน้ามืด เป็นลม วิงเวียนบ่อย

เจ็บหน้าอก หอบ เหนื่อยง่าย

อ่อนเพลีย ผิวซีดหรือเป็นรอยเป็นจ้ำง่าย

ใบหน้า คอ ท้องบวม

ต่อมน้ำเหลืองบวม สังเกตได้ชัดในบริเวณลำคอ รักแร้ และขาหนีบ

กลืนอาหารลำบาก รู้สึกเหมือนมีก้างปลาติดคออยู่ตลอดเวลา

เสียงแหบต่อเนื่องเกิน 3 สัปดาห์ มีอาการไอเรื้อรัง เสมหะมีเลือดปน

อุจจาระ อัดแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย

ท้องผูก หรือท้องเสียอย่างต่อเนื่องหลายวัน ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด

เกิดความเปลี่ยนแปลงกับไฝ หูด หรือปาน เช่น มีสีและขนาดที่เปลี่ยนไป มีเลือดไหลซึมออกมา มีเนื้องอกเกิดขึ้นใหม่

พบก้อนเนื้อผิดปกติบริเวณเต้านม ซึ่งอาจประกอบกับมีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกจากหัวนมด้วย

คันบริเวณอวัยวะเพศ ปวดท้องน้อย ตกขาวผิดปกติ ประจำเดือนผิดปกติ หรือมีเลือ[คำไม่พึงประสงค์]อกจากช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์

บาดแผลหายยาก เลือดหยุดไหล

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552

>>>เติมน้ำมันให้คุ้มที่สุด <<<

ของเหลวจะหดตัวเมื่ออุณหภูมิต่ำและขยายตัวเมื่ออุณหภูมิสูง …

น้ำมันที่ขายตามปั้มน้ำมันคิดราคาตามปริมาตร ดังนั้นถ้าเติมน้ำมันในช่วงที่อุณหภูมิต่ำกว่าปกติจะได้น้ำมันมากขึ้น เพราะเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นถึงระดับปกติ น้ำมันที่เติมไว้ในถังจะขยายตัวขึ้นอีก น้ำมันจะขยายตัวประมาณ 1.74% เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นจาก 15 องศาเซลเซียสไปเป็น 32 องศาเซลเซียส ดังนั้นถ้าเติมน้ำมันเต็มถัง 40 ลิตรที่อุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส จะได้น้ำมันมากขึ้น 1.74% = 0.7 ลิตร หรือคิดเป็นเงินประมาณ 20 บาท

เงินจำนวนนี้อาจไม่ใช่เงินจำนวนที่มากนัก แต่ถ้าหากเราสามารถประหยัดเงินได้ 20 บาททุกครั้งที่เราเติมน้ำมันตลอดชีวิตก็นับว่าเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

เวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการเติมน้ำมันคือตอนเช้ามืด เพราะอุณหภูมิในช่วงก่อนหน้าคือเวลากลางคืนค่อนข้างต่ำ คุณสามารถทำให้เป็นนิสัยด้วยการเติมน้ำมันในช่วงที่คุณออกจากบ้านไปทำงานตอนเช้าเสมอ วิธีนี้ก็จะช่วยทำให้คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้าน

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552

คนที่เล่นคอมพ์เกือบทุกคน เป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม'

คนที่เล่นคอมพ์เกือบทุกคน เป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม' ตอนนี้ในประเทศไทย มีคนเป็นโรคนี้ถึง 14 ล้านคนแล้ว จากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์ (นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้ คนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นจะมากขนาดไหน?)

อาการก็คือ !
คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนหยากใย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจก จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก็คือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่?)

สาเหตุของโรคนี้คือ !
การใช้สายตามากเกินไป' (เล่นคอม) แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้ที่สายตามากๆ เช่น ช่างเจียระไนเพชรพลอย ! ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม (คุณฟังไม่ผิดหรอก เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ)

ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก? ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต, เล่นเกมส์, อ่าน[คำไม่พึงประสงค์]ไดอารี่, อ่านบทความ, อ่านหนังสือหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้นเพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ 'ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอนเพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อและประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่ แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส ( เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป ) (จอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติ[คำไม่พึงประสงค์]ยู่ด้านบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ) การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน บวกกับ ลักษณะการอ่านหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อที่จะอ่านบรรทัดด้านล่างได้หรือไม่ก้อ ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ

แต่ การเลื่อนบรรทัดนี้ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษ ที่แขนกับคอเราจะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตดู ) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะจะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้น บางทีคุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้นพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามากๆ ตัวอย่างเช่นกรณีเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน ! สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดใช้โปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีขาวสว่าง (ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาว) สีพื้นที่สว่างจ้านี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิ[คำไม่พึงประสงค์]าการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็คนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อย ๆ

มักจะมีการปรับแสงสว่าง เพราะเวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ

[color='#000080']

ภาพแสดงของจอประสาทตาที่หลุดลอกออกมาแยกชั้นออกจากส่วนหลังของลูกตา

สรุปก็คือ

1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก 'ทำให้สายตาเสีย' 2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เอง ที่ทำให้สายตาเสีย
3. การก้มๆเงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา 'ทำให้สายตาเสีย '
4. การปรับจอภาพที่! มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว 'ทำให้สายตาเสีย' (คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน)
5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน !! (จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ !!) เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12นิ้ว) แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกิน ระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่ อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา)
ถามกลับไปว่า ทำไม กระดาษเอกสาร ที่ใช้ในการอ่านการเขียนทั่วไปจึงมีขนาด A4 ? คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดีกับการกวาดสายตามอง และเป็นคำตอบเดียวกับที่ว่าทำไมขนาดของจอคอมคุณที่ใช้ ไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง ส่วนมากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวันนั้น จะเป็นสาเหตุใหญ่ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิ[คำไม่พึงประสงค์]าการรุนแรงเพราะกว่าจะรู้ตัวแล้วไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่า คุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!